เรียนรู้ Forex

ทีละขั้นตอน

ระดับกลาง 1

ยินดีต้อนรับเข้าสู่หลักสูตรระดับกลาง1!!
เรียนรู้วิธีการซื้อขายโดยใช้อินดิเคเตอร์,รูปแบบกราฟที่สำคัญและ Pivot point อย่างเหมาะสม
ลองก้าวเข้าใกล้การซื้อขายที่แท้จริง

2. รูปแบบกราฟที่สำคัญ

การเทรดกราฟรูปแบบ Wedge Chart

สัญญาณ Wedges เป็นสัญญาณหยุดชั่วคราวในเทรด ณ ปัจจุบัน เมื่อคุณพบกับรูปแบบกราฟนี้ มันจะส่งสัญญาณให้กับผู้เทรด Forex ที่กำลังยังคงตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป
โดยที่รูปแบบ Wedges นั้นเป็นได้ทั้งรูปแบบต่อเนื่องและรูปแบบกลับตัว
รูปแบบกราฟสามเหลี่ยมแบบเงยขึ้น หรือ Rising Wedge
รูปแบบ Rising wedge เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของราคาระหว่างเส้นแนวรับและเส้นแนวต้าน ในกราฟนี้ เส้นแนวรับจะมีความชันมากกว่าเส้นแนวต้าน ซึ่งชี้ได้ว่าจุด Higher Low นั้นรวมตัวกันได้เร็วกว่า Higher High ทำให้นำไปสู่รูปแบบที่คล้ายกับรูปแบบ Wedge ซึ่งนั่นก็คือที่มาของชื่อรูปแบบนี้นั่นเอง! และด้วยเส้นราคาที่มารวมกัน เรารู้ได้ว่าคลื่นลูกใหญ่กำลังจะมา ดังนั้นเราสามารถคาดเดาได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของจุด Top หรือ Bottom
และถ้าหาก Rising Wedge เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น มันมักจะเป็นรูปแบบกลับตัวแบบ bearish อย่างไรก็ตาม หากมันเกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาลง มันอาจส่งสัญญาณถึงราคาที่ตกอย่างต่อเนื่อง

ในตัวอย่างแรกนี้ รูปแบบ Rising Wedge เกิดขึ้นเมื่อแนวโน้มขาขึ้นสิ้นสุดลง สังเกตได้จากพฤติกรรมของราคาเริ่มก่อตัวอีกครั้ง แต่ยังช้ากว่าตอนที่ราคาอยู่ในจุด Higher Low

เห็นที่ราคาตกลงมาอย่างมากไหม? นั่นหมายความว่า จำนวนของผู้เทรด Forex ที่ต้องการจะขาย(Sell)มีมากกว่ากลุ่มที่ต้องการจะซื้อ (Buy) อย่างมาก!
พวกเขากดราคาให้ต่ำลงไปกว่าเทรนด์ไลน์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าแนวโน้มขาลงอาจเกิดขึ้นได้
เช่นเดียวกับรูปแบบการเทรด Forex อื่นๆที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ การเคลื่อนไหวของราคาหลังจากที่ทะลุจากเส้นที่กำหนดนั้นจะมีระยะทางโดยประมาณเท่าๆกับความสูงของรูปแบบนั้นๆ
และตอนนี้ เรามาดูกันที่ตัวอย่างที่ 2 ของรูปแบบ Rising Wedge กันและในครั้งนี้ มันจะส่งสัญญาณต่อเนื่องในรูปแบบ bearish

อย่างที่คุณเห็น ราคานั้นจะขึ้นมาจากแนวโน้มขาลงก่อนที่จะมารวมตัวและร่างให้เกิดจุด Higher High และแม้แต่ Higher Low

ในกรณีนี้ ราคาจะลงมาต่ำลงไปถึงด้านล่างของกราฟและแนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อไป นี่คือเหตุผลที่มันถูกเรียกว่า สัญญาณต่อเนื่อง
รูปแบบ Rising wedge เกิดขึ้นหลังจากแนวโน้มขาขึ้น และมักจะนำไปสู่รูปแบบ การกลับตัว (ขาลง) ในขณะที่ Rising Wedge ที่เกิดขึ้นระหว่างแนวโน้มขาลงนั้นมักจะทำให้เกิดรูปแบบ ต่อเนื่อง (ขาลง)
พูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือ Rising Wedge นั้นจะนำไปสู่แนวโน้มขาลง ซึ่งหมายความว่ามันเป็นกราฟรูปแบบ Bearish

รูปแบบ Falling Wedge

เช่นเดียวกันกับ Wising Wedge รูปแบบกราฟ Falling Wedge นั้นก็เป็นได้ทั้งสัญญาณแบบกลับตัวและแบบต่อเนื่อง
หากเป็นสัญญาณแบบกลับตัว มันจะเกิดขึ้นที่จุดต่ำสุดของแนวโน้มขาลง ซึ่งชี้ได้ว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
หากเป็นสัญญาณแบบต่อเนื่อง มันจะเกิดขึ้นระหว่างแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งกล่าวได้ว่าแนวโน้มขาขึ้นของราคานั้นจะดำเนินต่อไป โดยที่รูปแบบของกราฟ Falling Wedge นั้นจะเป็นแบบ Bullish ซึ่งต่างจาก Rising Wedge

ในตัวอย่างนี้ Falling Wedge จะทำหน้าที่เป็นสัญญาณแบบกลับตัว ซึ่งหลังจากแนวโน้มขาลงจะเกิดจุด Lower High และ Lower Low ของราคา สังเกตได้จากการที่เทรนด์ไลน์ที่เชื่อมกับจุด High นั้นจะมีความชันที่มากกว่าเทรนด์ไลน์ที่เชื่อมกับจุด Low

และเมื่อผ่านทะลุจุดสูงสุดของ Wedge ไปได้ คู่ forex จะมีการเคลื่อนที่ขึ้นในระยะทางที่เท่าๆกับความสูงของรูปแบบนั้นๆ และในกรณีนี้ ราคาจะขึ้นสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้เรื่อยๆ
เรามาดูกันที่ตัวอย่างของ Falling Wedge เมื่อต้องทำหน้าที่เป็นสัญญาณต่อเนื่องบ้าง อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า เมื่อ Falling Wedge เกิดขึ้นระหว่างแนวโน้มขาขึ้น มันมักจะส่งสัญญาณว่าจะมีแนวโน้มเป็นเช่นเดิม

ในกรณีนี้ จะมีการรวมตัวกันของเส้นราคาเล็กน้อยหลังจากที่มีการเคลื่อนไหวอย่างมาก ซึ่งนั่นหมายความว่า ผู้ซื้อสามารถหยุดเพื่อพักและอาจจะได้ผู้เข้าร่วมเทรดมากขึ้น

เห็นหรือไม่ว่าราคานั้นจะทะลุผ่านส่วนที่สูงที่สุดและขึ้นไปสูงกว่าเดิม
หากเราได้วางจุดเข้าซื้อไว้ด้านบนของเส้นเทรนด์ไลน์ที่เชื่อมกับจุด high เราจะสามารถกระโดดไปที่จุดที่มีแนวโน้มขาขึ้นและได้รับกำไร เป้าหมายที่ดีควรที่จะมีความสูงเท่าๆกับรูปแบบกราฟ Wedge
และถ้าหากคุณต้องการได้ pips เพิ่มอีก คุณสามารถล็อคผลกำไรที่จุดเป้าหมายได้โดยการปิดบางส่วนในการเทรดของคุณ และปล่อยให้ส่วนที่เหลือทำหน้าที่ของตัวเองไป